วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ปัญหาในประเทศลิเบีย




ประเทศลิเบีย
“ลิเบีย” (Libya) มีชื่อทางการคือ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาชนอาหรับลิเบีย (Socialist People's Libyan Arab Great Jamahiriya) มีพื้นที่เกือบ 1,800,000 ตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ในทวีปแอฟริกา และประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกอันดับที่ 17 และมีเมืองหลวงชื่อ "ตริโปลี" เป็นประเทศในแอฟริกาเหนือ ตั้งอยู่ระหว่างประเทศอียิปต์ไปทางตะวันออก ประเทศซูดานไปทางตะวันออกเฉียงใต้ สาธารณรัฐชาดและประเทศไนเจอร์ไปทางใต้ และประเทศแอลจีเรียและตูนิเซียไปทางตะวันตก มีชายฝั่งบนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

สงครามกลางเมืองลิเบีย 2554

เป็นความขัดแย้งของกลุ่มติดอาวุธ ที่กำลังดำเนินอยู่ในประเทศลิเบีย เพื่อต่อต้านอำนาจรัฐภายใต้การปกครองของพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ซึ่งเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของประเทศที่ครองอำนาจมายาวนานร่วม 40 ปี
เหตุความไม่สงบได้เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 และได้ขยายตัวกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการลุกฮือขึ้นทั่วประเทศจนถึงขณะนี้ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะโค่นล้มพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ลงจากตำแหน่งและจัดการเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตย เหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกจุดประกายขึ้นจากการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลเผด็จการในประเทศตูนีเซียและอียิปต์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการประท้วงในวงกว้างทั่วทั้งทวีปแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง ฝ่ายต่อต้านกัดดาฟีจัดตั้งรัฐบาลตั้งอยู่ที่เบงกาซี ชื่อว่า สภาถ่ายโอนอำนาจแห่งชาติ ซึ่งระบุเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลกัดดาฟีและจัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
หลายประเทศประณามรัฐบาลลิเบียภายใต้การนำของกัดดาฟีอย่างรุนแรง ซึ่งใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ประท้วงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน ศาลอาญาระหว่างประเทศเตือนกัดดาฟีและสมาชิกรัฐบาลลิเบียว่าอาจได้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติผ่านข้อมติซึ่งอายัดทรัพย์ของกัดดาฟีและบุคคลใกล้ชิดจำนวน 10 คน มติดังกล่าวยังสั่งห้ามการเดินทางและยื่นเรื่องลิเบียต่อศาลอาญาระหว่างประเทศเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวน


สิทธิมนุษยชน

รัฐบาลได้ประหารชีวิตนักเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างเปิดเผยและได้ถ่ายทอดการประหารชีวิตทางช่องโทรทัศน์ของรัฐ ระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ภาษาตะวันตกถูกนำออกจากหลักสูตรโรงเรียน ประเทศลิเบียเผชิญปัญหาขาดแคลนครูที่มีคุณวุฒิ หญิงที่ได้รับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือสูงกว่ามีต่ำมาก และความพยายามในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 เพื่อปิดโรงเรียนเอกชนและผสานรวมคำสอนทางศาสนาและทางโลกเข้าด้วยกันนำไปสู่ความสับสน
จนถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 หน่วยข่าวกรองของลิเบียได้จัดการลอบสังหารผู้คัดค้านทางการลิเบียทั่วโลก และรัฐบาลได้ตั้งค่าหัวสำหรับการสังหารผู้วิพากษณ์วิจารณ์ด้วย ในปี พ.ศ. 2547 ลิเบียยังคงให้ค่าหัวสำหรับผู้วิพากษ์วิจารณ์ โดยบางคนมีค่าหัวสูงถึง 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ตามข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ชาวลิเบีย 10-20% เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการตรวจตราภายในประเทศ (domestic surveillance committee) ซึ่งมีสัดส่วนผู้แจ้งข้อมูลแก่รัฐบาลระดับเดียวกับซัดดัม ฮุสเซนแห่งอิรัก หรือคิม จอง อิลแห่งเกาหลีเหนือ[59] ความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลนั้นผิดกฎหมายภายใต้กฎหมาย 75 แห่งปี พ.ศ. 2516 และกัดดาฟีได้จัดว่าทุกคนที่กระทำความผิดในการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้นจะถูกประหารชีวิต
ตามดัชนีเสรีภาพสื่อ พ.ศ. 2552 ลิเบียเป็นประเทศที่มีการตรวจพิจารณาสูงที่สุดในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ


จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ




ระหว่างวันที่ 13 และ 16 มกราคม จากความเดือดร้อนจากปัญหาการก่อสร้างหน่วยที่อยู่อาศัยหยุดชะงักและการฉ้อราษฎร์บังหลวง ผู้ประท้วงในดาร์นาห์ เบงกาซี บานี วาลิด และเมืองอื่นได้ขัดจังหวะและเข้าไปอาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยซึ่งรัฐบาลกำลังก่อสร้าง เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554 ลิเบียบล็อกการเข้าถึงเว็บไซต์ยูทูบหลังจากมีวิดีโอที่เป็นภาพการเดินขบวนประท้วงในเมืองเบงกาซี ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากฮิวแมนไรท์สวอตช์ เมื่อวันที่ 27 มกราคม รัฐบาลตอบสนองต่อความไม่สงบโดยกองทุนลงทุน 24,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐเพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยและการพัฒนา

การก่อการกำเริบและสงครามกลางเมือง




การประท้วงและการเผชิญหน้าเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งในเย็นวันนั้น ผู้ประท้วงระหว่าง 500 ถึง 600 คนได้เปล่งสโลแกนต่อหน้ากองบัญชาการตำรวจในเบงกาซี ตำรวจได้สลายการชุมนุมอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 38 คน ในอัลเบดาและอัซซินตัน กลุ่มผู้ประท้วงหลายร้อยคนได้เรียกร้องให้กัดดาฟีลงจากอำนาจและวางเพลิงอาคารตำรวจและความมั่นคงหลายแห่งในอัซซินตัน ผู้ประท้วงได้จัดตั้งเต็นท์ในใจกลางเมือง การประท้วงยังคงดำเนินต่อไปในวันรุ่งขึ้นในเบงกาซี ดาร์นาห์ และอัลเบย์ดา ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 4 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 3 คน
“วันแห่งความเดือดดาล” (Day of Rage) ในลิเบียและชาวลิเบียพลัดถิ่นกำหนดไว้วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ประชุมฝ่ายค้านลิเบียแห่งชาติได้ร้องขอให้ทุกกลุ่มซึ่งต่อต้านกัดดาฟีประท้วงในวันดังกล่าว เพื่อระลึกถึงการเดินขบวนประท้วงในเบงกาซีเมื่อสองปีที่แล้ว แผนการประท้วงได้รับแรงบันดาลใจจากการก่อการกำเริบในตูนิเซียและอียิปต์ การประท้วงเกิดขึ้นในหลายเมือง และเจ้าหน้าที่ความมั่นคงลิเบียยิงกระสุนจริงใส่การประท้วงที่ติดอาวุธเช่นกัน ผู้ประท้วงได้เผาอาคารรัฐการหลายแห่ง รวมทั้งสถานีตำรวจหนึ่งแห่ง

สาเหตุของการปฏิวัติ

เพื่อต่อต้านอำนาจรัฐภายใต้การปกครองของพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ซึ่งเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของประเทศที่ครองอำนาจมายาวนานร่วม 40 ปี กลุ่มต่อต้านรัฐบาลลิเบียมีเป้าหมายที่จะโค่นล้มพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ลงจากตำแหน่งและจัดการเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตย ฝ่ายต่อต้านกัดดาฟีจัดตั้งรัฐบาลตั้งอยู่ที่เบงกาซี ชื่อว่า สภาถ่ายโอนอำนาจแห่งชาติ ซึ่งระบุเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลกัดดาฟีและจัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย


แนวทางในการแก้ไขปัญหาภายใต้รัฐบาลลิเบีย

ในขณะนี้ปัญหาที่เกิดในประเทศลิเบียยังไม่มีการให้ความช่วยเหลือที่แน่ชัด แต่ทาง “โอบามา” เรียกร้องให้นานาชาติช่วยกันระดมความคิด เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาความไม่สงบภายในลิเบีย โดยผู้นำสหรัฐฯได้เสนอการแก้ปัญหาด้วยความช่วยเหลือด้านมนุษยชน

ผลกระทบปัญหาลิเบียต่อไทย และโลก

ปัญหาการประท้วงในลิเบียซึ่งนานาชาติให้ความสนใจและอยากให้ปัญหาคลี่คลายลงโดยเร็ว เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการประท้วงในลิเบียนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชนของประเทศต่างๆ ในโลกอย่างรวดเร็วและมากมาย
สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในลิเบียดังกล่าว ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทะยานขึ้นแตะบาร์เรลละ 120 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าสถานการณ์การชุมนุมประท้วงแบบเดียวกับลิเบีย อาจจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ตามทฤษฎีโดมิโนที่คาดว่าสถานการณ์ประท้วงในตูนิเซียและอียิปต์อาจเป็นต้นแบบของการประท้วงเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในหลายประเทศ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางและแอฟริกา
นอกจากนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการประท้วงในลิเบียในครั้งนี้ ดูจะรุนแรงกว่าการประท้วงในอียิปต์ในสายตาชาวโลก เพราะลิเบียเป็นประเทศสมาชิกในกลุ่มโอเปกที่ผลิตน้ำมันป้อนตลาดโลกประมาณวันละ 1.6 ล้านบาร์เรล
ดังนั้น การประท้วงในลิเบียที่ส่งสัญญาณรุนแรงขึ้นทำให้นานาชาติยิ่งมีความกังวลมาก เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบต่อประชาชนและแรงงานของประเทศต่างๆ ที่ทำธุรกิจหรือทำงานอยู่ในลิเบียเท่านั้น แต่ถ้าการประท้วงเกิดขึ้นยาวนานอาจทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรืออาจปรับสูงขึ้นมากกว่านั้นได้ถ้าสถานการณ์รุนแรงและเกิดขึ้นอีกในประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว หรือมีความผันผวนสูงจึงส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ยังฟื้นตัวอย่างเปราะบางในปัจจุบัน และอาจทำให้เศรษฐกิจโลกกลับมาสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกได้อีกครั้ง หากเศรษฐกิจโลกกลับมาสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกได้อีกครั้ง หากราคาน้ำมันยืนตัวอยู่ในระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนานเกิน 3 เดือน เพราะประชาชนในประเทศต่างๆ จะกังวลต่อค่าครองชีพที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ประชาชนทั่วโลกชะลอการจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยว ในที่สุดจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ชะลอตัวลง และจะทำให้ปัญหาการว่างงานในสหรัฐหรือปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปกลับมาหลอกหลอนเศรษฐกิจโลกได้อีกครั้ง จึงไม่น่าจะแปลกใจที่บรรดาผู้นำของประเทศต่างๆ เรียกร้องให้สหประชาชาติรีบเข้ามามีบทบาทในการคลี่คลายสถานการณ์ในลิเบีย และประเทศมหาอำนาจของโลกคือสหรัฐ ได้พยายามขอให้นานาชาติให้การสนับสนุนเพื่อระงับเหตุนองเลือดในลิเบีย โดยใช้มาตรการคว่ำบาตรลิเบีย ซึ่งประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำของสหรัฐ ได้โทรศัพท์หารือเรื่องดังกล่าวกับผู้นำของประเทศในสหภาพยุโรป พร้อมทั้งออกคำสั่งยึดทรัพย์สิน และขัดขวางการโอนย้ายสิทธิครอบครองใดๆ ในสหรัฐ ซึ่งเป็นของผู้นำลิเบีย และลูกชาย 4 คน เนื่องจากรัฐบาลลิเบียละเมิดบรรทัดฐานสากลและคุณธรรมทั่วไป จึงต้องแสดงความรับผิดชอบ ในขณะเดียวกัน รัฐมนตรีน้ำมันของซาอุดีอาระเบียก็รีบออกมากล่าวยืนยันว่า โอเปกพร้อมรับมือปริมาณน้ำมันที่อาจขาดไปผลจากความวุ่นวายในตะวันออกกลาง เพราะชาติสมาชิกมีศักยภาพเหลือเฟือในการผลิตน้ำมัน นอกจากนั้น ซาอุดีอาระเบียยังรับรองว่าจะเพิ่มการผลิตเพื่อชดเชยการผลิตจากลิเบียที่อาจขาดหายไป เพื่อระงับผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบของแนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันโลก